ล็อกเก็ตเต่า รุ่นแรก รุ่นเดียวของหลวงพ่อ สร้างน้อยหายาก
7,000.00 บาท
ติดต่อสอบถาม

 

ถึงเวลา ตำนานกลับมา

 

วัตถุมงคล อมตะ ของหลวงพ่อทรง จะฉายแสง

 

ของดี ของแรง พุทธคุณสูงส่ง   ปกปิดอย่างไรก็ไม่มิด  ทองคำ อยู่ที่ไหน ก็เป็นทองคำ วันยังค่ำ

 

ได้เวลา พระพุทธคุณ หนุนนำชีวิต ศิษย์ผู้ศรัทธาแล้ว

 

ศรีสวัสดิ์ รัตนะ  ศิษย์ก้นกุฎี ผู้เขียนประวัติหลวงพ่อทรง ลงหนังสือพระ ทั้ง นะโม ,พระเกจิ,ลานโพธิ์

 

การันตี  พระดี มีพุทธคุณสูง เปลี่ยนชีวิตได้จริง ราคาไม่แพง ก็ต้องของหลวงพ่อทรง นี่แหละ 

 

 

 

พระคาถาเรียกเงินเรียกทอง หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน อ่างทอง    หมั่นบูชาด้วยพระคาถานี้ทุกวัน เช้า ค่ำ มิให้ขาด ตักบาตร ทำบุญ ให้ทานเป็นนิจ จะเจริญด้วยทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ผล พูลทวี เงินทอง เข้ามาเต็มบ้าน เต็มช่อง ข้าวของกินใช้ไม่สิ้นเปลือง ค้าขาย มีกำไร จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีในไม่ช้านี้เเล   

 

ตั้งนะโม 3 จบ  แล้วว่า  

 

นะมา มีมา  มานิมา มานิมา พรหมมานิมา ตังพรหมมานิมา จิตตังพรหมมานิมา มาจิตตังพรหมมานิมา พรหมมาจิตตัง พรหมมานิวัง พรหมมาจิตตัง พรหมมานิสิวัง พรหมมาจิตตัง พรหมมานิมาอุสิวัง พรหมมาจิตตัง พรหมมานิมา ......

 

หลวงพ่อทรง  “พระครูสุภัทรธรรมโสภณ” หรือ “หลวงพ่อทรง ฉันทโสภี” มีนามเดิมว่า ทรง วารีรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2466 ตรงกับวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน ณ บ้านม่วงเตี้ย ต.ม่วงเตี้ย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายกอง และนางจัน วารีรักษ์ ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย  

 

การศึกษาเบื้องต้นและการอุปสมบท  ช่วงวัยเยาว์ ท่านเป็นคนใฝ่รู้ในด้านต่างๆ เสมอมา ช่วยเหลือครอบครัวทำมาหากินมาตลอด และมีจิตใจฝักใฝ่ในทางศาสนา ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนวัดยางมณี (ชวนประชาสรรค์) ต.ม่วงเตี้ย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง จนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (ป. 6) ซึ่งในสมัยนั้นคนส่วนใหญ่จะจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (ป. 4) จึงเป็นการเรียนจบที่สูงสามารถเป็นครูสอนตามโรงเรียนได้ ต่อมาท่านได้เข้ารับราชการเพียงระยะเวลาสั้นๆ โดยยังคงช่วยเหลือครอบครัวหาเลี้ยงชีพประกอบกิจการค้าขาย

 

 

เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2486 ณ พัทธสีมาวัดยางมณี ต.ม่วงเตี้ย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง โดยมีพระครูสุกิจวิชาญ (หลวงพ่อชวน) วัดยางมณี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการสุวรรณ วัดไร่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการชั้ว วัดตูม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

 

 

การศึกษาพระปริยัติธรรมและสรรพวิชาอาคม

 

หลังอุปสมบท ท่านได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อชวน วัดยางบมณี ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นได้ย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดไร่และวัดศาลาดิน เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัย สามารถสวดพระปาติโมกข์ได้อย่างคล่องแคล่ว

 

(วัดไร่นี้ เป็นวัดที่ หลวงปู่ผาด อภินนฺโท เป็นเจ้าอาวาส  ทั้งหลวงปู่ผาด และหลวงพ่อทรง ท่านเป็นเครือญาติกัน  หลวงน้าลออ ฐานวโร เจ้าอาวาสวัดไร่ รูปต่อจากหลวงปู่ผาด ทั้งเป็นญาติกับทั้งหลวงปู่ผาด  และหลวงพ่อทรง ท่านเล่าให้ ศรีสวัสดิ์ รัตนะ  (ผู้เขียน) ฟังว่า หลวงปู่ผาด ท่านเน้นหนักสอนกรรมฐาน และวิปัสสนาญาณ มานาน  ได้แนะนำแนวทางปฎิบัติกรรมฐาน ให้แก่หลวงพ่อทรง แต่หลวงพ่อทรง ท่านชอบเที่ยว ที่ว่าเที่ยวคือ เที่ยวเสาะแสวงหา ครูบาอาจารย์ดี ๆ เก่ง ๆ  ท่านจะมีกลุ่มพระเพื่อน สหธรรมมิก ที่ชอบในแนวทางนี้เหมือนกัน  จะชวนกันเดินลัดทุ่ง ไปกราบครูบาอาจารย์ในที่ต่าง ๆ  ก็ได้วิชา มาแต่ละองค์ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามสมควรแก่วาสนา และบารมีของแต่ละรูป) 

 

ขณะเดียวกัน ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาอาคมจากหลวงพ่อชวน วัดยางมณี, หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่, หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์, หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ศึกษาโหราศาสตร์กับหลวงพ่อเข็ม วัดข่อย พระเกจิดังแห่งยุค ซึ่งได้เมตตาถ่ายทอดสรรพวิชาให้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ ท่านได้เรียนวิทยาคมจากตำราโบราณที่รับสืบทอดจากบรรพบุรุษ จนเชี่ยวชาญสามารถเขียนอ่านอักษรขอมได้   

หลวงพ่อทรง เคร่งครัดปฏิบัติและชอบการปลีกวิเวก หมั่นฝึกฝนปฏิบัติวิชาอาคมต่างๆ ตามที่ได้ร่ำเรียนและได้รับการถ่ายทอดมา จนมีความชำนาญในวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีพลังสมาธิญาณอย่างน่าอัศจรรย์

 

มีเรื่องเล่าขานกันว่า เมื่อปี พ.ศ.2513 หลวงพ่อทรงท่านได้จัดงานผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิตพระอุโบสถ แล้วจัดสร้างเหรียญเสมาเป็นรูปท่านครึ่งองค์ เพื่อมอบให้สาธุชนเป็นที่ระลึก โดยนิมนต์พระธรรมมุนี (หลวงพ่อแพ เขมังกโร) วัดพิกุลทอง ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี, หลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิโต วัดดอนไร่ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี และพระเกจิผู้ทรงวิทยาคมรูปอื่นๆ มาร่วมนั่งปลุกเสก

 

 

 

หลังจากพระเกจิผู้ทรงวิทยาคมคลายพลังสมาธิญาณ และผ่อนคลายอิริยาบถ หลวงพ่อทรงยังคงนั่งนิ่งส่งพลังสมาธิญาณ กระทั่งเหรียญเสมาที่อยู่ในบาตรบินลอยวนไปมา ส่งเสียงกระทบฝาบาตรอย่างน่าอัศจรรย์

 

จนหลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิโต วัดดอนไร่ เปรยว่า “พอแล้วท่านทรง จะปลุกเสกไปถึงไหน เดี๋ยวเหรียญก็ได้แตกป่นกันหมดพอดี” หลวงพ่อทรงจึงผ่อนคลายพลังสมาธิญาณ ต่อมาคณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งสมญานามเหรียญเสมารุ่นนี้ว่า “รุ่นเหรียญบิน” ตราบจนปัจจุบัน

 

 

 เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย     ยอดวัตถุมงคลขลัง    วัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักรวาล โดดเด่นในหลากหลายด้าน ที่เสาะหากันอยู่ขณะนี้ ได้แก่ เหรียญใบเสมา รุ่นเหรียญบิน ปี 2513, เหรียญเต่าเรือน ทื่ท่านสร้างไว้  3 รุ่น  มีพุทธคุณดีมาก ประสบการณ์ก็มาก จนถึงกับมีเซียนเหรียญใหญ่ ระดับประเทศ  กระซิบบอกกับลูกศิษย์ว่า  “เหรียญเต่าหลวงพ่อหลิว เอาไว้ขาย   ส่วนเหรียญเต่าหลวงพ่อทรง เอาไว้ใช้ได้ เพราะราคาถูกกว่ากันเยอะ”

 

เหรียญบาตรน้ำมนต์หลังพระยันต์ดอกบัวบาน , พระกริ่งบาเก็ง,  พระกริ่งไตรมาส , เหรียญหล่อ , สมเด็จยันต์พระเจ้า 5 พระองค์ เป็นต้น วัตถุมงคลของหลวงพ่อทรง มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี บังเกิดแก่บรรดาสาธุชน จนท่านได้รับสมญานามจากคณะศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย”

 

ท่านย้ำอยู่เสมอว่า “วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มแข็งด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ  แต่ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ได้พระจากข้าไป  ถ้าทำดี  ก็ดีต่อดี  ไปเรื่อย ๆ  ถ้าขยัน จะไม่จน  พระท่านอุดหนุนไว้ได้  แต่ถ้าทำชั่ว  เป็นคนเกเร  พระก็ช่วยเท่าที่มีบุญหนุนเกื้อแค่นั้นเอง หมดบุญ ก็หมดกัน ”

 

รวมทั้ง ท่านจะกล่าวสอนอยู่เสมอว่า “การ ทำจิตใจให้สงบ รู้จักปล่อยวางในสิ่งต่างๆ อย่าไปยึดติดกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิระลึกถึงปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำสั่งสอนของท่านเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด หาคำสอนใดมาเปรียบเทียบมิได้เลยทีเดียว และการที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นอะไรที่ประเสริฐที่สุดแล้วในชาตินี้”

 

 

หลวงพ่อทรง พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดศาลาดิน (วัดมอญ) ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า เป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคกลาง แต่การเข้ากราบไหว้ขอพรจากท่าน มิใช่เรื่องยากเย็น ทุกคนมีโอกาสเสมอเหมือนกันหมด ไม่มีผู้ใดกีดกัน เพราะท่านเมตตาต่อทุกคน ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง  

 

ท่านมักจะนำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมเป็นกุศโลบายในการอบรมสั่งสอนศีลธรรม แก่ประชาชนทั่วไป ให้ยึดหลักธรรมคำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา เป็นวิถีสำคัญในการประพฤติปฏิบัติตน ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ถ้ามีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่ไหน จะต้องเห็นหลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน นั่งปรกปลุกเสกกับพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย ความเป็นเอกอุด้านไสยเวทวิทยาคมไม่แตกต่างกัน

มรณภาพ    อย่างไรก็ดี ด้วยสังขาร คือ อนิจจัง เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ครั้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ.2550 เวลาประมาณ 21.00 น. หลวงพ่อทรงมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ หายใจขัด เนื่องจากมีกิจนิมนต์มาก เมื่อลูกศิษย์เห็นว่าอาการไม่ดี จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง คณะแพทย์ได้ทำการรักษา แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ในที่สุด เมื่อเวลา 22.50 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ.2550 ท่านได้ละสังขารจากไปอย่างสงบ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ หลังจากเข้ารับการรักษาอาการท่อปัสสาวะอักเสบ มาก่อนหน้านี้ สิริอายุรวมได้ 83 ปี 8 เดือน พรรษา 64 ท่ามกลางความเศร้าสลดและความอาลัยเป็นยิ่งนักของบรรดาคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป

หลวงพ่อทรง ท่านเป็นพระสงฆ์สุปฏิปันโนอย่างแท้จริง แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ ท่านได้ละสังขารตามกฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถือว่าวงการสงฆ์ต้องสูญเสียพระเถระรูปสำคัญ ผู้บำเพ็ญคุณูปการต่อชาวเมืองอ่างทอง ด้วยความอุตสาหวิริยะมาอย่างยาวนาน เหลือทิ้งไว้แต่ผลงานอันทรงคุณค่าที่อุทิศให้แด่พระพุทธศาสนา เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำไว้เบื้องหลัง